สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
เราเพิ่งจบใหม่เราอ้วน 105-106kg.ค่ะ
1.ตอนฝึกงานไปสมัครที่แรกเป็นการนำชมนักท่องเที่ยวต้องมีชุดประจำตำแหน่ง
เราสอบได้คะแนนผ่านและเยอะกว่าเพื่อน 2 คนที่ไปด้วย
วันสัมภาษณ์เค้าถามเราว่า "น้องทำback officeได้มั้ย" เราตอบว่าเราชอบงานบริการ เราชอบพูดชอบเล่าเรื่องให้คนฟังมากกว่า พี่เค้าบอกว่า"น้องคะตั้งแต่น้องเดินเข้ามาน้องเห็นคนหุ่นแบบน้องมั้ย พี่อยากรับนะแต่น้องคงใช่ชุดไม่ได้ค่ะ" เราก็บอกไม่เป็นไรค่ะ งานback office เราไม่ถนัด เรากลับบ้านเสียใจร้องไห้เลย
หลังจากไม่ได้ที่นี่เราก็ได้ฝึกที่ดีกว่า ได้นำชมนักท่องเที่ยวเกี่ยวกับประวัติพิพิธภัณฑ์และประวัติรัตนโกสินทร์ตอนต้น ได้คุยกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้เพื่อนที่ดี เราได้รับแขก เราได้ถือพานดอกไม้ถวายพระ ที่นี่เค้าไม่สนใจเลยว่าอ้วนแต่เค้าดูความสามรถ ความรับผิดชอบมากกว่า เราฝึกจบแล้วดีใจและภูมิใจมากค่ะ
2.หลังฝึกงานก็จบการศึกษา เราได้ฝากประวัติไว้ในเว็บมีบริษัทหนึ่งโทรมาเรียกไปสัมภาษณ์เป็นงานบริการ เราก็ดีใจโทรเรียกเป็นที่แรก เราไปถึงเค้านั่งรอเราแอบเห็นในได้สมัครเค้าวงน้ำหนักเราด้วย เราก็ไม่คิดอะไร เค้าบอกว่า พี่อยากรับน้องนะแต่พี่เคยรับคนหุ่นจ้ำม่ำมาก็มีปัญหาสุขภาพ ยืนไม่ไหว เราบอกว่าเราทำได้ค่ะ เพราะตอนฝึกงานก็ให้บริการนำชมเดินยืนทั้งวันเหมือนกัน แต่สุดท้ายเราก็ไม่ได้งานนี้ค่ะ เราคงตอบคำถามได้ไม่ดีก็เลยไม่ได้ แต่เราเข้าใจนะคะ งานบริการบุคลิกภาพสำคัญ ออกกำลังกายลดน้ำหนักเถอะจะเกิดผล
ตอนนี้เราก็ยังไม่ได้ทำงานค่ะไปลงเรียนคอมพิวเตอร์เกี่ยวกับใช้ในสำนักงานและลองไปสอบป.โทบ้าง เรียนคอมจบก็ต้องหางานแล้วค่ะ
1.ตอนฝึกงานไปสมัครที่แรกเป็นการนำชมนักท่องเที่ยวต้องมีชุดประจำตำแหน่ง
เราสอบได้คะแนนผ่านและเยอะกว่าเพื่อน 2 คนที่ไปด้วย
วันสัมภาษณ์เค้าถามเราว่า "น้องทำback officeได้มั้ย" เราตอบว่าเราชอบงานบริการ เราชอบพูดชอบเล่าเรื่องให้คนฟังมากกว่า พี่เค้าบอกว่า"น้องคะตั้งแต่น้องเดินเข้ามาน้องเห็นคนหุ่นแบบน้องมั้ย พี่อยากรับนะแต่น้องคงใช่ชุดไม่ได้ค่ะ" เราก็บอกไม่เป็นไรค่ะ งานback office เราไม่ถนัด เรากลับบ้านเสียใจร้องไห้เลย
หลังจากไม่ได้ที่นี่เราก็ได้ฝึกที่ดีกว่า ได้นำชมนักท่องเที่ยวเกี่ยวกับประวัติพิพิธภัณฑ์และประวัติรัตนโกสินทร์ตอนต้น ได้คุยกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้เพื่อนที่ดี เราได้รับแขก เราได้ถือพานดอกไม้ถวายพระ ที่นี่เค้าไม่สนใจเลยว่าอ้วนแต่เค้าดูความสามรถ ความรับผิดชอบมากกว่า เราฝึกจบแล้วดีใจและภูมิใจมากค่ะ
2.หลังฝึกงานก็จบการศึกษา เราได้ฝากประวัติไว้ในเว็บมีบริษัทหนึ่งโทรมาเรียกไปสัมภาษณ์เป็นงานบริการ เราก็ดีใจโทรเรียกเป็นที่แรก เราไปถึงเค้านั่งรอเราแอบเห็นในได้สมัครเค้าวงน้ำหนักเราด้วย เราก็ไม่คิดอะไร เค้าบอกว่า พี่อยากรับน้องนะแต่พี่เคยรับคนหุ่นจ้ำม่ำมาก็มีปัญหาสุขภาพ ยืนไม่ไหว เราบอกว่าเราทำได้ค่ะ เพราะตอนฝึกงานก็ให้บริการนำชมเดินยืนทั้งวันเหมือนกัน แต่สุดท้ายเราก็ไม่ได้งานนี้ค่ะ เราคงตอบคำถามได้ไม่ดีก็เลยไม่ได้ แต่เราเข้าใจนะคะ งานบริการบุคลิกภาพสำคัญ ออกกำลังกายลดน้ำหนักเถอะจะเกิดผล

ตอนนี้เราก็ยังไม่ได้ทำงานค่ะไปลงเรียนคอมพิวเตอร์เกี่ยวกับใช้ในสำนักงานและลองไปสอบป.โทบ้าง เรียนคอมจบก็ต้องหางานแล้วค่ะ
ความคิดเห็นที่ 71
อยากให้แยกประเด็นให้ออกนะคะ
เรื่องสุขภาพก็เรื่องนึง สิทธิ์ใครสิทธิ์มันค่ะ
เรื่องสิทธิมนุษยชนก็เรื่องนึงนะคะ
เพิ่มเติมอีกเรื่อง เวลามีคนมาโพสท์สไตล์โดน HR ไร้มารยาทใส่ แล้วมาแก้แทน HR ว่าอยากทดสอบ EQ หรือไหวพริบในการตอบคำถามเนี่ย
เราอยากบอกว่า สัมภาษณ์งานเนี่ยสมัยนี้มันต้องทำกันถึงขั้นเหยียดเพื่อนมนุษย์ และลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นคนของมนุษย์คนอื่นแล้วหรือคะ?
ถ้ามันเป็นส่วนนึงของขั้นตอนในการที่จะได้งานๆนั้นเนี่ย
ดิชั้นขอไม่ทำดีกว่าค่ะ เพราะในเมื่อไม่ได้มองเราเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกันแต่แรก เมื่อเราเข้าไปทำงานด้วยก็คงไม่ได้รับการปฏิบัติแบบมนุษย์ที่เท่าเทียมกันปฏิบัติต่อกันแน่นอนค่ะ
เรื่องสุขภาพก็เรื่องนึง สิทธิ์ใครสิทธิ์มันค่ะ
เรื่องสิทธิมนุษยชนก็เรื่องนึงนะคะ
เพิ่มเติมอีกเรื่อง เวลามีคนมาโพสท์สไตล์โดน HR ไร้มารยาทใส่ แล้วมาแก้แทน HR ว่าอยากทดสอบ EQ หรือไหวพริบในการตอบคำถามเนี่ย
เราอยากบอกว่า สัมภาษณ์งานเนี่ยสมัยนี้มันต้องทำกันถึงขั้นเหยียดเพื่อนมนุษย์ และลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นคนของมนุษย์คนอื่นแล้วหรือคะ?
ถ้ามันเป็นส่วนนึงของขั้นตอนในการที่จะได้งานๆนั้นเนี่ย
ดิชั้นขอไม่ทำดีกว่าค่ะ เพราะในเมื่อไม่ได้มองเราเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกันแต่แรก เมื่อเราเข้าไปทำงานด้วยก็คงไม่ได้รับการปฏิบัติแบบมนุษย์ที่เท่าเทียมกันปฏิบัติต่อกันแน่นอนค่ะ
ความคิดเห็นที่ 68
อ่านละขึ้นเลย คิดถึงตัวเองเมื่อเดือนที่ผ่าน
เราไปสมัครงานทิ้งไว้ที่บริษัทที่มีลค.เป็นต่างชาติในตำแหน่ง customer service มีหน้าที่รับออเดอร์จากลค.ผ่านเมลแล้วส่งต่องานให้โรงงานเหมือนเป็นตัวกลางคอยประสานงานให้ชค.และโรงงาน วันสัมภาษณ์กับHR ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาต้องการเพราะงานเก่าเราก็ทำตำแหน่งนี้แต่งานเก่าหน้าที่เรามากกว่า หลังจากนั้นHRก็พาไปพบเจ้าของบริษัท(เป็นแขกขายผ้า)เพื่อทดสอบภาษาอังกฤษซึ่งเราก็ผ่านเพราะเราเรียนภาคอินเตอร์ โดยรวมเหมือนจะดูดีนะแต่ติดอยู่นิดเดียว ........
บทสนทนาหลังจากทดสอบภาษาอังกฤษเสร็จ ขอเรียกเจ้าของบริษัทว่าแขกนะคะ
แขก: ไหนๆก็ไหนๆละผมขอให้คุณอ่านเมลให้ผมสักฉบับแล้วแปลให้ผมฟังหน่อยได้มั้ยครับ (หันโน้ตบุคมา)
เรา: ได้คะ (พร้อมกับอ่านข้อความจับใจความได้ว่าเกิดการสื่อสารผิดพลาดเลยทำให้สูทที่สั่งตัดออกมาผิดไซส์และลค.คนนี้คงจะเป็นคนมีชื่อเสียงระดับหนึ่ง แปลได้ประมาณนี้)
เรา: เอ่อ หนูแปลได้นะคะแต่ถ้าจะให้สมบูรณ์รบกวนคุณช่วยบอกหนูทีว่าคำนี้แปลว่าอะไรคะ ศัพท์เฉพาะใช่มั้ยคะ?
แขก: เป็นโค้ดผ้าครับ ปกติการทำงานจริงเราจะไม่ให้ใช้ดิกชันรีเลยนะเพราะสมองคุณต้องทำงานไว ตอบลูกค้าให้ไวมานั่งแปลก็ไม่ต้องทำอะไรพอดี
เรา: คิดในใจ อ้ายสาดดดดด เลยตอบไปว่า หนูก็แปลถูกนิคะ แต่แค่หนูแปลโค้ดผ้าของคุณไม่ออกเอง หนูไม่ได้เรียนมา
แขก: งั้นถ้าคุณเจอเมลนี้คุณจะตอบเขาว่าไง?
เรา: ก็จะเริ่มต้นจากขอโทษลค. ขอให้ลค.ส่งสินค้าที่มีปัญหากลับมาแล้วทางเราจะแก้ไขให้เร็วที่สุดโดยค่าใช้จ่ายทางเราจะเป็นผู้รับผิดชอบ และลงท้ายด้วยคำขอโทษอีกครั้ง (อันนี้แปลไทยให้)
แขก: คุณต้องตอบว่าทางเราจะขอตรวจสอบอีกทีว่าความผิดพลาดเกิดจากอะไรสิ สินค้ามีปัญหาคุณไม่ตรวจสอบหรอ
เรา: นิ่งเงียบจ้องหน้าคิดในใจ จะให้ไปตรวจสอบกับผีที่ไหนยะในเมื่อมันเย็บผิดออกจากจักรในโรงงานแก หรือว่าต้องให้ไปตรวจสอบบริษัทขนส่งอาจจะขนส่งผิดพลาดทำให้ผ้าหดงี้หรอ? บ่างัว! พูดไม่คิดเนาะ แขกนิมันแขกจริงๆ ... ไม่ได้พูดอะไรออกไปค่ะ เอือม
แขก: มันคือการตอบแบบเป็นแพทเทินนิคุณ ถ้าคุณตอบแบบนี้คุณก็จะไม่ได้คิดเองเลยนะ
เรา: โมโหมากวินาทีนั้นอารมณ์มาเต็ม ... มันไม่ใช่แพทเทินค่ะ มันคือมารยาท! เราทำออเดอร์ผิดคำแรกที่ควรพูดคือคำว่าขอโทษเพราะถ้าคุณอ้างแต่จะตรวจสอบลค.จะมองว่าเราไม่เป็นมืออาชีพชอบปัดความรับผิดชอบ ของแบบนี้ดูก็รู้อยู่แล้วว่าผิดที่ใคร คนทำผิดก็ต้องขอโทษและรับผิดชอบอยู่แล้วที่ไหนในโลกก็ทำกันแบบนี้แหละค่ะ
แขก: อึ้งไป1นาที ครับ .... เอาเป็นว่าเดียวผมให้HR โทรกลับนะครับถ้าโชคดีอาจจะได้ร่วมงานกัน
รู้เลยละค่ะว่าไม่ได้งานนี้แน่นอน ถึงไม่ได้ก็ไม่เสียใจเลยสักนิด เราไม่ชอบอยู่กับคนไม่มีความรับผิดชอบ ..... ตอนเดินออกมาจากห้องพี่ที่สัมภาษณ์เราบอกว่าพี่ชอบหนูมากเลยนะ แต่ยังไงก็ต้องแล้วแต่เจ้าของท่านอีกที เราเลยบอกพี่เขาว่าไม่เป็นไรคะพี่หนูเข้าใจ ........
เล่าให้เพื่อนฟังนางยังบอกเลยว่าเราอีโก้สูงไปป่าว ยึดติดมากไปมั้ย แต่เราก็เถียงนะว่าถ้าแกเป็นลค.คนนั้นแกจะอยากจ้างคนที่ปัดความรับผิดชอบมาตัดสูทให้แกมั้ย? ชอบหรอจ้างคนแบบนี้มาทำงานให้ งานห่วย ไม่รับผิดชอบ ไม่ขอโทษ นางถึงขั้นเงียบ .... ในกรณีของเราน่าเห็นใจHRนะ แต่ก็อย่างว่าละเนาะคนทำงานกะคนสั่งงานก็ย่อมคิดไม่เหมือนกันอยู่แล้ว .....
เราไปสมัครงานทิ้งไว้ที่บริษัทที่มีลค.เป็นต่างชาติในตำแหน่ง customer service มีหน้าที่รับออเดอร์จากลค.ผ่านเมลแล้วส่งต่องานให้โรงงานเหมือนเป็นตัวกลางคอยประสานงานให้ชค.และโรงงาน วันสัมภาษณ์กับHR ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาต้องการเพราะงานเก่าเราก็ทำตำแหน่งนี้แต่งานเก่าหน้าที่เรามากกว่า หลังจากนั้นHRก็พาไปพบเจ้าของบริษัท(เป็นแขกขายผ้า)เพื่อทดสอบภาษาอังกฤษซึ่งเราก็ผ่านเพราะเราเรียนภาคอินเตอร์ โดยรวมเหมือนจะดูดีนะแต่ติดอยู่นิดเดียว ........
บทสนทนาหลังจากทดสอบภาษาอังกฤษเสร็จ ขอเรียกเจ้าของบริษัทว่าแขกนะคะ
แขก: ไหนๆก็ไหนๆละผมขอให้คุณอ่านเมลให้ผมสักฉบับแล้วแปลให้ผมฟังหน่อยได้มั้ยครับ (หันโน้ตบุคมา)
เรา: ได้คะ (พร้อมกับอ่านข้อความจับใจความได้ว่าเกิดการสื่อสารผิดพลาดเลยทำให้สูทที่สั่งตัดออกมาผิดไซส์และลค.คนนี้คงจะเป็นคนมีชื่อเสียงระดับหนึ่ง แปลได้ประมาณนี้)
เรา: เอ่อ หนูแปลได้นะคะแต่ถ้าจะให้สมบูรณ์รบกวนคุณช่วยบอกหนูทีว่าคำนี้แปลว่าอะไรคะ ศัพท์เฉพาะใช่มั้ยคะ?
แขก: เป็นโค้ดผ้าครับ ปกติการทำงานจริงเราจะไม่ให้ใช้ดิกชันรีเลยนะเพราะสมองคุณต้องทำงานไว ตอบลูกค้าให้ไวมานั่งแปลก็ไม่ต้องทำอะไรพอดี
เรา: คิดในใจ อ้ายสาดดดดด เลยตอบไปว่า หนูก็แปลถูกนิคะ แต่แค่หนูแปลโค้ดผ้าของคุณไม่ออกเอง หนูไม่ได้เรียนมา
แขก: งั้นถ้าคุณเจอเมลนี้คุณจะตอบเขาว่าไง?
เรา: ก็จะเริ่มต้นจากขอโทษลค. ขอให้ลค.ส่งสินค้าที่มีปัญหากลับมาแล้วทางเราจะแก้ไขให้เร็วที่สุดโดยค่าใช้จ่ายทางเราจะเป็นผู้รับผิดชอบ และลงท้ายด้วยคำขอโทษอีกครั้ง (อันนี้แปลไทยให้)
แขก: คุณต้องตอบว่าทางเราจะขอตรวจสอบอีกทีว่าความผิดพลาดเกิดจากอะไรสิ สินค้ามีปัญหาคุณไม่ตรวจสอบหรอ
เรา: นิ่งเงียบจ้องหน้าคิดในใจ จะให้ไปตรวจสอบกับผีที่ไหนยะในเมื่อมันเย็บผิดออกจากจักรในโรงงานแก หรือว่าต้องให้ไปตรวจสอบบริษัทขนส่งอาจจะขนส่งผิดพลาดทำให้ผ้าหดงี้หรอ? บ่างัว! พูดไม่คิดเนาะ แขกนิมันแขกจริงๆ ... ไม่ได้พูดอะไรออกไปค่ะ เอือม
แขก: มันคือการตอบแบบเป็นแพทเทินนิคุณ ถ้าคุณตอบแบบนี้คุณก็จะไม่ได้คิดเองเลยนะ
เรา: โมโหมากวินาทีนั้นอารมณ์มาเต็ม ... มันไม่ใช่แพทเทินค่ะ มันคือมารยาท! เราทำออเดอร์ผิดคำแรกที่ควรพูดคือคำว่าขอโทษเพราะถ้าคุณอ้างแต่จะตรวจสอบลค.จะมองว่าเราไม่เป็นมืออาชีพชอบปัดความรับผิดชอบ ของแบบนี้ดูก็รู้อยู่แล้วว่าผิดที่ใคร คนทำผิดก็ต้องขอโทษและรับผิดชอบอยู่แล้วที่ไหนในโลกก็ทำกันแบบนี้แหละค่ะ
แขก: อึ้งไป1นาที ครับ .... เอาเป็นว่าเดียวผมให้HR โทรกลับนะครับถ้าโชคดีอาจจะได้ร่วมงานกัน
รู้เลยละค่ะว่าไม่ได้งานนี้แน่นอน ถึงไม่ได้ก็ไม่เสียใจเลยสักนิด เราไม่ชอบอยู่กับคนไม่มีความรับผิดชอบ ..... ตอนเดินออกมาจากห้องพี่ที่สัมภาษณ์เราบอกว่าพี่ชอบหนูมากเลยนะ แต่ยังไงก็ต้องแล้วแต่เจ้าของท่านอีกที เราเลยบอกพี่เขาว่าไม่เป็นไรคะพี่หนูเข้าใจ ........
เล่าให้เพื่อนฟังนางยังบอกเลยว่าเราอีโก้สูงไปป่าว ยึดติดมากไปมั้ย แต่เราก็เถียงนะว่าถ้าแกเป็นลค.คนนั้นแกจะอยากจ้างคนที่ปัดความรับผิดชอบมาตัดสูทให้แกมั้ย? ชอบหรอจ้างคนแบบนี้มาทำงานให้ งานห่วย ไม่รับผิดชอบ ไม่ขอโทษ นางถึงขั้นเงียบ .... ในกรณีของเราน่าเห็นใจHRนะ แต่ก็อย่างว่าละเนาะคนทำงานกะคนสั่งงานก็ย่อมคิดไม่เหมือนกันอยู่แล้ว .....
ความคิดเห็นที่ 39
เข้าใจได้ถ้าเขาจะทดสอบ แต่บางทีทางบริษัท ควรตระหนักด้วยว่า
คำพูดที่ใช้ มันเหยียดสิทธิมนุษยชน ความเป็นคนของคนอื่นรึเปล่า
กรณีนี้ เราถือว่าคนถามไม่เข้าใจ ไม่สามารถสื่อประเด็นสำคัญที่ถามออกมาได้เลย
แถมยังมีทัศนคติเหยียดคนอีกด้วย ...ยุคนี้แล้ว ยังพูดจะด้วยทัศนคติเชยๆแบบนี้
มันก็แสดงให้เห็นเหมือนกันนะว่า องค์กรณ์นี้ คิดยังไงกับคุณค่าของมนุษย์ และเพื่อนรวมงาม
คำพูดที่ใช้ มันเหยียดสิทธิมนุษยชน ความเป็นคนของคนอื่นรึเปล่า
กรณีนี้ เราถือว่าคนถามไม่เข้าใจ ไม่สามารถสื่อประเด็นสำคัญที่ถามออกมาได้เลย
แถมยังมีทัศนคติเหยียดคนอีกด้วย ...ยุคนี้แล้ว ยังพูดจะด้วยทัศนคติเชยๆแบบนี้
มันก็แสดงให้เห็นเหมือนกันนะว่า องค์กรณ์นี้ คิดยังไงกับคุณค่าของมนุษย์ และเพื่อนรวมงาม
แสดงความคิดเห็น
เป็นคุณโดนสัมภาษณ์แบบนี้ จะรู้สึกยังไงครับ ค่อนข้างเหยียดนะครับ
แท๊กโต๊ะเครื่องแป้ง เพราะ เกี่ยวข้องโดยตรงเรื่องรูปร่างกับการสัมภาษณ์งาน
ผมขอใช้นามสมมุติ ระหว่าง Candidate และ HR
นามสมมุติ Candidate : อแมนด้า
นามสมมุติ HR : เดวิด
ข้อความข้างล่าง Copy มาจาก Facebook พี่เขาซึ่งผมขออนุญาต แล้วนะครับ
ช่วงว่างงาน นี่ก็เข้าไปอัพเดทเรซูเม่ที่เคยฝากไว้กับเว็บสมัครงานทั้งหลาย แล้วก็มีฝ่ายบุคคลจากบริษัทนึงโทรมาค่ะ
นาง: สวัสดีครับคุณอแมนด้า ผมเดวิดนะครับ จากบริษัท xxx คือทางบริษัทเห็นเรซูเม่คุณอแมนด้าจากเว็บ yyy แล้วรู้สึกสนใจมากครับ เลยอยากจะสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับสายงานด้านการตลาดครับ
นี่: ค่ะ ยินดีค่ะ
นาง: ครับ คือ.. เอ่อ...
นี่: ...คะ?
นาง: คืออยากจะเรียนถามเกี่ยวกับข้อมูลที่ระบุในเรซูเม่นิดนึงครับ คือ... เอ่อออ
นี่: .....
นาง: คือ..
นี่: ...คือ?
นาง: คืออ... ทางเราเห็นจากเรซูเม่ว่าประสบการณ์ด้านการตลาดของคุณอแมนด้าค่อนข้างตรงกับที่เราต้องการมากเลยครับ แต่.. เอ่ออ...
นี่: แต่...?
นาง: แต่... เอ่ออ คืออ น..น้ำหนักคุณอแมนด้าตามที่ระบุในเรซูเม่ มัน.. เอ่ออ... มันเยอะ อืมม.. มากเลย
จ้ะ (ดรวกส์!)
นี่: ค่ะ ก็เยอะจริงตามที่เห็นค่ะ ไม่ได้พิมพ์ผิด ฮ่าๆ (ยังจะตลก)
นาง: ครับ ก็เลย.. อ่าา เลยอยากจะสอบถามว่า อืมมม... น้ำหนักขนาดนี้ไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานเหรอครับ?
นี่: อุปสรรคด้านไหนคะ?
นาง: ก็... อย่างเช่น ความรวดเร็วในการทำงานไรเงี้ยอ่ะครับ
ภาคมารในใจนี่ตอนนั้นคืออยากจะถามกลับไปสุดว่าคิดว่าคนอ้วนบนโลกนี้จะนอนเป็นแผลกดทับอยู่กับบ้านอย่างเดียวหรือไงวะ? แต่ในที่สุดภาคนางฟ้าที่บิ๊วมาให้เปี่ยมด้วยเมตตาและอีคิวก็ชนะ นี่จึงสะกดอารมณ์ ยิ้มให้กระจก แล้วตอบด้วยอินเนอร์แบบเดียวกับน้องเมญ่าเวลาเจอคำถามว่าตัวดำทำไมมาประกวดนางงามว่า...
นี่: อืมม... อันที่จริงแล้วการทำงานที่รวดเร็วน่าจะต้องมีพื้นฐานมาจากแพสชั่นในงานก่อนเป็นอันดับแรกนะคะ ถ้าเรามีแพสชั่น เราสนุกกับงาน เราก็จะกระตือรือร้นที่จะทำ นอกจากนี้ มันควรต้องมีความรวดเร็วของกระบวนการอื่นๆ มาประกอบกันด้วย ไม่ว่าจะเรียนรู้เร็ว คิดเร็ว จับประเด็นเร็ว หาข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลเร็ว วางแผนการทำงานและประสานงานฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้เร็ว อะไรแบบนี้ ถึงจะเกิดผลลัพธ์เป็นการทำงานที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วน้ำหนักไม่เคยมีผลกระทบต่อความรวดเร็วในกระบวนการต่างๆ เหล่านี้ค่ะ
ปรากฎเดวิดไม่ได้ตื้นตันคล้อยตามใดๆ กับคำตอบนี่เลยค่ะ ห่าราก! นางยังคงมุ่งมั่นตั้งคำถามกับความอ้วนของนี่ต่อไปโดยไม่ลดละ
นาง: แต่งานของเราเป็นการตลาดเชิงรุกนะครับ เราไม่ได้อยู่กับที่ บางทีอาจจะต้องมีการเดินทางไปพบลูกค้าหลายบริษัทในวันเดียวกัน เราเลยค่อนข้างจะ concern เรื่องความรวดเร็วและความคล่องตัวในการเดินทางของคุณอแมนด้านะครับ
นี่: ความคล่องตัวในการเดินทางไปหลายที่เพื่ิอทำหลายอย่างในหนึ่งวันน่าจะเป็นเรื่องของการบริหารเวลา การวางแผนการเดินทาง และการจัดลำดับความสำคัญของเรื่องที่จะทำมากกว่าเรื่องน้ำหนักตัวมั้ยคะ?
นาง: น้ำหนักและรูปร่างก็มีส่วนมากครับ บริษัทเราทำการตลาดเชิงรุก ทีมการตลาดที่เรามีอยู่ต้องการคนปราดเปรียว รวดเร็ว คล่องตัว มาเสริมทีม แต่คนอ้วนมักจะเหนื่อยง่าย ไม่ขยัน เคลื่อนไหวช้า ยิ่งประสบการณ์การทำงานสองที่ล่าสุดของคุณอแมนด้าเป็นงานผู้ช่วยซึ่งเป็นงานนั่งโต๊ะสบายๆ ไม่ต้องขยับตัวทำอะไรมาก เราเลยค่อนข้างจะกังวลว่าจุดนี้จะเป็นอุปสรรคต่อทีม
เดี๋ยวนะ คือร่ะ? คืออยากได้คนผอมรวดเร็วคล่องตัวปราดเปรียวแต่โทรมาหาคนอ้วน? วางหูแล้วโทรหาคนแบบที่อยากได้มะคะ? จะมาเซ้าซี้งั้นงี้ He Trad เพื่อร่ะ? คืองง..
เอาจริงๆ ทุกอย่างที่พูดมาก็เข้าใจได้ จนกระทั่งมาถึงวลี "คนอ้วนไม่ขยัน" และ "ผู้ช่วย (เลขา) เป็นงานสบาย ไม่ต้องขยับตัวทำอะไร".. ถ้าใครจะบอกว่าไดอะลอกห่านฟักพวกนี้คือส่วนหนึ่งของเกมการทดสอบอีคิวผู้สมัคร นี่ว่านี่มีอีคิวมากพอที่จะระงับอารมณ์ชี้แจงในส่วนที่ควรชี้แจงไปแล้ว และนี่ยินดีถูกทดสอบทุกอย่างเพื่อให้ได้งานต่อให้ต้องกระโดดตบจับเวลาร้อยทีต่อหน้าซีอีโอ แต่การเล่นเกมด้วยทัศนคติไม่ให้เกียรติคนอื่นและตัดสินคนด้วยอคติแบบนี้นี่จะไม่ทน! ดังนั้น อินเนอร์ภาคมารของนี่จึงรับไม้ต่อจากภาคนางฟ้า ก่อนจะตอบเดวิดไปด้วยอินเนอร์ของทาทายัง (ที่อ้วน สวย รวย และมีผัว) ว่า
นี่: ด้วยความเคารพนะคะคุณเดวิด งานเดิมเราคือเป็นผู้ช่วยหรือเป็นเลขานะคะ ไม่ได้เป็นอัมพาต จะได้ไม่ต้องขยับตัวทำอะไร จริงๆ แล้วหน้าที่นี้จำเป็นต้องรวดเร็วกว่าหน้าที่อื่นด้วยซ้ำเพราะเป็นด่านแรกที่ต้องรับคำสั่งและสนองนโยบายผู้บริหารระดับสูง ถูกต้องมั้ยคะ?
นาง: ค.. ครับ
นี่: ถ้าผู้ช่วยผู้บริหารที่บริษัทคุณเดวิดนั่งจิ้มมะม่วงดองดูยูทูบไปวันๆ เลยทำให้คุณเดวิด perceive แบบนั้น ก็ขอความกรุณาคุณเดวิดปรับทัศนคติใหม่นะคะ นั่นคือพฤติกรรมเฉพาะบุคคล ไม่ใช่ปกติวิสัยของทุกคนที่ทำตำแหน่งนี้.. เหมือนเรื่องคนอ้วนมักไม่ขยัน คือโลกนี้มีคนขี้เกียจที่อ้วน แต่ไม่ได้แปลว่าคนอ้วนทุกคนขี้เกียจ เข้าใจมั้ยคะ?
นาง: ข.. เข้าใจครับ
นี่: ส่วนเรื่องการตลาดเชิงรุกอะไรนั่น เนื่องจากคุณเดวิดยังไม่ได้อธิบายให้เห็นภาพว่าโดยเนื้องานแล้วต้องทำอะไร หรือต้องการคุณสมบัติอะไรที่มากไปกว่าความปราดเปรียวในการเดินทาง เลยไม่ทราบว่าจะชี้แจงอะไรนะคะ เพราะก็จินตนาการไ่ม่ถูกว่าปราดเปรียวนี่ต้องปราดเปรียวเลเวลไหน? คือการตลาดเชิงรุกที่นี่เวลาไปพบลูกค้าคือให้ผูกขาแล้ววิ่งไปด้วยกันจากออฟฟิศหรือว่าไง? ขึ้นรถ ลงเรือ นั่งแทกซี่ ขี่มอเตอร์ไซค์เองได้นี่ปราดเปรียวพอมั้ย? หรือต้องมีทักษะการโรยตัวลงจาก ฮ. ด้วยคะ?
นาง: .....
นี่:
ยังไงก็ต้องขอบคุณคุณเดวิดมากนะคะที่สละเวลาโทรมาและให้โอกาสพูดคุยในเบื้องต้น ทั้งๆ ที่ทางบริษัท concern เรื่องน้ำหนักตัว ความคล่องตัว ความปราดเปรียวเป็นหลัก.. ถ้าพิจารณาแล้วว่าประสบการณ์การทำงานของเราน่าจะสามารถทำประโยชน์ให้บริษัทได้ในแง่อื่นๆ ก็ยินดีและเป็นเกียรติมากนะคะถ้าจะได้รับโอกาสให้เข้าไปลองสัมภาษณ์พูดคุยกัน
นาง: .....
นี่: แต่ถ้ายืนยันว่าปราดเปรียวคือชนะ ก็ไปจ้างยูเซน โบลต์ มาทำงานเถอะค่ะ นี่นักการตลาดค่ะ ไม่ใช่นักกรีฑา!
นาง: .....
#สังคมนี้ชะนีอ้วนจิตไม่แข็ง Mang อยู่ยากอยากให้มาลองเป็น
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เรียน คุณสมาชิกหมายเลข 1691147
ไม่ว่าคุณจะกลับมาอ่าน ที่ผมตอบคุณหรือไม่อย่างไร แต่ขอบอกให้รู้ว่า
รุ่นพี่คนนี้เขาลดน้ำหนักอยู่ครับ แต่เนื่องจากมีโรคประจำตัวด้วย
เลยทำให้ลดได้แค่ 10 กว่ากิโล จากที่พยายามมา 1 ปี ทั้งคุมอาหารและฟิตเนส
แต่คนภายนอกว่า ก็ยังอ้วนอยู่ดีครับ
ซึ่งหมอที่รักษาพี่เค้าประจำ เค้าบอกให้หัดคิดบวก มั่นใจ
และออกกำลังกายไปเรื่อยๆ ครับ ซึ่งโรคของเค้าเป็นโรคเดียวกับทาทา ยังครับ
ซึ่งผมจำไม่ได้ว่าโรคอะไร